รูปแบบของการดำเนินธุรกิจ
รูปแบบของการดำเนินธุรกิจ (Types of Business Organizations)
ธุรกิจทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมาแล้ว สามารถเลือกดำเนินธุรกิจ 3 รูปแบบ คือ
1. กิจการเจ้าของคนเดียว (Individual Proprietorship) เป็นรูปแบบของการดำเนินกิจการที่มีเจ้าของเพียงคนเดียวคือผู้ก่อตั้งกิจการ โดยมากมักเป็นกิจการขนาดเล็ก เจ้าของเป็นผู้บริหารงานเอง ดังนั้นจึงมีความคล่องตัวในการบริหารงานสูง เนื่องจากสามารถตัดสินใจในเรื่องของการบริหารงานได้เองเลยโดยที่ไม่ต้องถามความเห็นของผู้อื่น หากกิจการมีกำไร เจ้าของกิจการก็ได้รับกำไรนั้นแต่เพียงผู้เดียว แต่ถ้ากิจการขาดทุนเจ้าของกิจการก็ต้องรับผิดชอบผลการขาดทุนและหนี้สินที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน ในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเจ้าของคนเดียวนี้หากกิจการต้องการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีเจ้าของเพียงคนเดียว
2. กิจการห้างหุ้นส่วน (Partnership) เป็นรูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่มีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาร่วมกันจัดตั้งกิจการ โดยเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน มีสัญญาเข้าเป็นหุ้นส่วนกัน และแบ่งผลกำไรกัน ซึ่งเจ้าของกิจการห้างหุ้นส่วนจะถูกเรียกว่า “ผู้เป็นหุ้นส่วน” ในการบริหารงานของกิจการจะกำหนดให้หุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเป็นผู้บริหารงาน ซึ่งจะเรียกว่าหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนมี 2 ประเภท คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Unlimited Partnership) ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนประเภทที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนี้จะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ได้ กับห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทที่มีหุ้นส่วนบางคนรับผิดชอบเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นเท่านั้น ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
กิจการในรูปแบบของห้างหุ้นส่วนนี้จะแหล่งเงินทุนได้ง่ายกว่ากิจการเจ้าของคนเดียว เนื่องจากมีจำนวนเจ้าของมากกว่า แต่หากมีกำไร กำไรนั้นก็ต้องแบ่งให้กับหุ้นส่วนทุกคน หากขาดทุนก็จะต้องรับผิดชอบผลขาดทุนและหนี้สินของกิจการร่วมกันทุกคน
3. บริษัทจำกัด (Limited Company) เป็นรูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งเงินทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน ผู้ถือหุ้นซึ่งก็คือเจ้าของกิจการต้องรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ บริษัทจะถูกบริหารงานโดยคณะกรรมการบริษัท ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้แต่งตั้ง โดยที่คณะกรรมการบริหารบริษัทนั้นมาจากผู้ถือหุ้นหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นในบริษัทจำกัดจึงมีการแยกระหว่างเจ้าของกิจการกับผู้บริหารงาน นั่นก็คือ ผู้ถือหุ้นมิได้บริหารงานเองโดยตรง แต่มอบหมายให้คณะกรรมการเป็นผู้บริหารงานแทน เมื่อจดทะเบียนแล้ว บริษัทจะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น ซึ่งกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัดนี้จะหาแหล่งเงินทุนได้ง่าย เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก และการบริหารงานก็คล่องตัว ผู้บริหารก็มักจะเป็นมืออาชีพในการบริหารธุรกิจ หากบริษัทมีกำไร เจ้าของกิจการซึ่งเรียกว่า “ผู้ถือหุ้น” จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล
ข้อมูลโดย : http://coursewares.mju.ac.th/